รวมสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อัปเดตล่าสุด ช่วยคุณประหยัดภาษีสูงสุด
การเข้าใจเรื่องลดหย่อนภาษี 2568 เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้รวบรวมสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อัปเดตล่าสุด ทั้งรายการลดหย่อนพื้นฐานที่หลายคนอาจมองข้าม และมาตรการใหม่ที่รัฐบาลออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะอธิบายวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พร้อมเทคนิคการวางแผนภาษีที่ช่วยให้คุณใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้อย่างเต็มที่ เพื่อลดภาระภาษีและเพิ่มเงินเก็บในกระเป๋าของคุณ
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2568
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เพราะจะช่วยให้คุณทราบว่าต้องเสียภาษีเท่าไร และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด การเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยใช้ระบบอัตราก้าวหน้า หรือที่เรียกว่า "ขั้นบันได" ซึ่งหมายความว่าผู้มีรายได้มากจะเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผู้มีรายได้น้อย สำหรับปี 2568 อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายังคงเป็นไปตามโครงสร้างเดิม โดยเริ่มตั้งแต่ 0% สำหรับผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ไปจนถึง 35% สำหรับผู้มีรายได้สุทธิส่วนที่เกิน 5,000,000 บาท ทั้งนี้ การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อย่างเหมาะสมจะช่วยลดเงินได้สุทธิ ซึ่งอาจทำให้คุณเสียภาษีในอัตราที่ต่ำลงได้ นับเป็นการประหยัดเงินอย่างชาญฉลาดและถูกกฎหมาย
ขั้นตอนการคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- รวมเงินได้พึงประเมินทั้งปี - รวมรายได้ทุกประเภท เช่น เงินเดือน โบนัส รายได้จากธุรกิจ หรือการลงทุน
- หักค่าใช้จ่าย - หักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจเป็นแบบเหมาหรือตามจริง เช่น เงินเดือนหักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อน - นำค่าลดหย่อนภาษี 2568 ทั้งหมดที่มีสิทธิมาหัก เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ครอบครัว ประกันชีวิต กองทุน RMF SSF เป็นต้น
- คำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า - นำเงินได้สุทธิที่ได้ไปคำนวณตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได
ตัวอย่าง: นาย ก. มีเงินเดือน 30,000 บาท (รวมทั้งปี 360,000 บาท) มีสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้แก่ ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท) ประกันสังคม (9,000 บาท) และ RMF (30,000 บาท)
การคำนวณ
- รายได้ทั้งปี: 360,000 บาท
- หักค่าใช้จ่ายเหมา (50% แต่ไม่เกิน 100,000): 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อน: 60,000 + 9,000 + 30,000 = 99,000 บาท
- เงินได้สุทธิ: 360,000 - 100,000 - 99,000 = 161,000 บาท
- ภาษีที่ต้องจ่าย: (150,000 × 0%) + (11,000 × 5%) = 550 บาท
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นภาษี
การเตรียมเอกสารให้พร้อมสำหรับการยื่นภาษี ช่วยให้กระบวนการยื่นแบบราบรื่นและป้องกันการพลาดสิทธิ ลดหย่อนภาษี 2568 ที่ควรได้รับ เอกสารสำคัญที่ควรเตรียมมีดังนี้
- ใบสรุปรายได้ประจำปี - เช่น หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากนายจ้าง
- หลักฐานการลดหย่อน - เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกันชีวิต ใบรับรองการซื้อกองทุน RMF/SSF ใบเสร็จค่าดอกเบี้ยกู้บ้าน
- หลักฐานการบริจาค - ใบเสร็จหรือหลักฐานการบริจาคเงินให้องค์กรการกุศลที่มีสิทธิ์ลดหย่อนภาษี
- เอกสารอื่นๆ - เช่น ทะเบียนสมรส สูติบัตรบุตร (กรณีใช้สิทธิลดหย่อนครอบครัว) ใบกำกับภาษีสำหรับมาตรการช้อปช่วยชาติ
รายการลดหย่อนภาษีพื้นฐานที่ไม่ควรพลาด
การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อย่างครบถ้วนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประหยัดภาษี มีรายการลดหย่อนพื้นฐานหลายรายการที่ผู้เสียภาษีควรทราบและใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ได้แก่ ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว ประกันสังคม ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และค่าลดหย่อนอื่นๆ ที่คุณมีสิทธิ การรู้จักและใช้สิทธิเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังช่วยส่งเสริมการวางแผนการเงินที่ดีอีกด้วย เพราะหลายรายการเป็นการส่งเสริมการออมและการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัวเป็นสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 พื้นฐานที่ผู้เสียภาษีทุกคนควรใช้ให้เต็มประโยชน์ โดยประกอบด้วย
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท (กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้)
- ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 บาท สำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรม และเพิ่มเป็น 60,000 บาทสำหรับบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561
- ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท (รวมทั้งของคู่สมรส)
- ค่าลดหย่อนคนพิการหรือทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท
การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 สำหรับครอบครัวช่วยลดภาระภาษีได้มาก โดยเฉพาะครอบครัวที่มีบุตรหลายคนหรือดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการสนับสนุนสถาบันครอบครัวและการดูแลผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือในสังคม
เงินประกันสังคมและกองทุนประกันสังคม
ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมมีสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 จากเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยสามารถนำเงินที่ถูกหักไปใช้ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาทต่อปี (คำนวณจากเงินเดือนสูงสุดที่ใช้คำนวณประกันสังคมเดือนละ 15,000 บาท × 5% × 12 เดือน) นอกจากนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ที่หักจากเงินเดือนยังสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 จากเงินประกันสังคมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการได้ประโยชน์ซ้อน คือนอกจากจะช่วยลดภาษีแล้ว ยังเป็นการออมและสร้างความมั่นคงให้ชีวิตในระยะยาวอีกด้วย โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างมักจะสมทบให้ด้วย ถือเป็นสวัสดิการที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
ผู้ที่มีการกู้เงินเพื่อซื้อ สร้าง หรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายในปีภาษีมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยต้องเป็นการกู้จากสถาบันการเงิน ธนาคาร หรือบริษัทประกันชีวิต และต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้น (ไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านหลังแรก)
นอกจากนี้ ในปี 2568 ยังมีมาตรการพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ โดยสามารถนำค่าซื้อที่อยู่อาศัยมาหักลดหย่อนเพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (ต้องซื้อระหว่าง 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2568 และโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 31 ธันวาคม 2568)
สิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนและการออม
การลงทุนและการออมเป็นอีกช่องทางสำคัญที่รัฐบาลส่งเสริมผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 หลากหลายรูปแบบ ทั้งกองทุน RMF, SSF ประกันชีวิต และอื่นๆ ผู้เสียภาษีควรพิจารณาใช้สิทธิเหล่านี้เพื่อประโยชน์ด้านภาษีและยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณอายุ การลงทุนใน RMF ให้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ตามจำนวนเงินที่ลงทุนจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินในปีนั้น และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนสงเคราะห์แล้ว)
เงื่อนไขสำคัญของ RMF คือต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน) และต้องถือหน่วยลงทุนไว้จนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี หากไถ่ถอนผิดเงื่อนไขจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งหมด
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (SSF)
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เป็นกองทุนที่มาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิม โดยการลงทุนใน SSF ให้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ตามจำนวนเงินที่ลงทุนจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
นอกจากนี้ ในปี 2568 ยังมี SSF พิเศษที่ลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% (เดิมเรียก Thai ESG SSF) ซึ่งให้สิทธิลดหย่อนเพิ่มได้อีกสูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือหน่วยลงทุนไว้อย่างน้อย 5 ปี
ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ
เบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพเป็นอีกหนึ่งรายการที่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
- เบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน
ทั้งนี้ เมื่อรวมค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนได้เพิ่มอีกไม่เกิน 200,000 บาท แต่เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
รัฐบาลมักออกมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นระยะ ซึ่งนอกจากจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ผู้เสียภาษีได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 เพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับปี 2568 มีมาตรการที่น่าสนใจ คือ โครงการ Easy E-Receipt เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ โดยผู้เสียภาษีสามารถนำค่าซื้อสินค้าและบริการที่มีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) มาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และสามารถนำค่าซื้อสินค้า OTOP วิสาหกิจชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคมมาหักลดหย่อนได้อีกไม่เกิน 20,000 บาท
เทคนิคการวางแผนภาษีให้ได้ประโยชน์สูงสุด
การวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเงินส่วนบุคคลอีกด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 มีเทคนิคที่น่าสนใจดังนี้
- วางแผนล่วงหน้า: ศึกษาและทำความเข้าใจสิทธิลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้มีเวลาเตรียมการและใช้สิทธิได้อย่างเต็มที่
- จัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ: เก็บใบเสร็จรับเงิน หลักฐานการจ่ายเงิน และเอกสารยืนยันต่างๆ ให้เป็นระเบียบ เพื่อความสะดวกเมื่อถึงเวลายื่นภาษี
- จัดสรรการลงทุนเพื่อประโยชน์ทางภาษี: วางแผนการลงทุนใน RMF, SSF และประกันชีวิตให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินและได้ประโยชน์ทางภาษีสูงสุด
- ใช้สิทธิลดหย่อนที่หมดอายุก่อน: บางมาตรการลดหย่อนภาษี 2568 มีกำหนดเวลาจำกัด ควรใช้สิทธิที่กำลังจะหมดอายุก่อนเพื่อไม่ให้เสียโอกาส
- แยกการยื่นภาษีกับคู่สมรส: ในบางกรณี การแยกยื่นภาษีอาจช่วยประหยัดภาษีได้มากกว่าการยื่นรวมกัน ควรคำนวณเปรียบเทียบทั้งสองแบบเพื่อเลือกวิธีที่ประหยัดภาษีมากที่สุด
- เลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม: เปรียบเทียบระหว่างการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมากับการหักค่าใช้จ่ายตามจริง เพื่อเลือกวิธีที่ทำให้เสียภาษีน้อยที่สุด
สรุปรวมสิทธิลดหย่อนภาษี 2568
การวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการบริหารการเงินส่วนบุคคล ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษีในปัจจุบัน แต่ยังส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ในปี 2568 นี้ มีทั้งรายการลดหย่อนพื้นฐานที่ต่อเนื่องจากปีก่อน รวมถึงมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Easy E-Receipt และสำคัญที่สุดคือการวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และหากคุณกำลังมองหาแหล่งเงินทุนเพื่อจัดการค่าใช้จ่ายก่อนสิ้นปีหรือต้องการเสริมสภาพคล่องในช่วงนี้ พรอมิส พร้อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
ดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี
*กรุณาศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนการสมัครที่ promise.co.th
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด